ศัตรูที่มองไม่เห็น
สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons, CFC’s) ซึ่งเป็นสารที่ใช้กันมากในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสเปรย์ต่างๆ (เช่นสเปรย์ น้ำหอม สเปรย์แต่งผม ยาฆ่าแมลงชนิดสเปรย์ สเปรย์ล้างเครื่องจักร เป็นต้น) รวมทั้งใช้ในอุปกรณ์เครื่องปรับอากาศและตู้เย็น สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอนนี้เชื่อว่า เป็นสารพิษที่มีพิษ ต่อสุขภาพของมนุษย์ค่อนข้างน้อย แต่เป็นสารที่คงทนไม่สูญสลายไปง่ายๆ
ดังนั้นจะกระจายไปอยู่ในชั้นบรรยากาศ และมีการสะสมขึ้นทุกๆ ปี ประกอบกับการขยายตัวในการใช้เทคโนโลยีชนิดนี้ และขยายการผลิตจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ทำให้ปริมาณของสารตัวนี้ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นมากจนก่อให้เกิดการทำลายชั้นโอโซนอย่างรวดเร็ว และรุนแรง ดังนั้นสารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ทางอ้อมอย่างแน่นอน และยังทำลายสิ่งแวดล้อมทางอ้อมเพราะจะปล่อยให้แสงอัลตราไวโอเลตมาทำลายพืชที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์กว่าร้อยชนิด
ขณะนี้วงการนักวิทยาศาสตร์ และนักพิทักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลกต่างตระหนกต่อการสูญสลายอย่างรวดเร็วของบรรยากาศชั้นโอโซน ซึ่งอยู่เหนือพื้นโลก ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตที่เปล่งมาจากดวงอาทิตย์ ก็จะทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตเล็ดลอดมาสู่โลกเพิ่มขึ้นจนทำให้มีผู้ป่วยเป็นมะเร็ง ผิวหนังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผู้ป่วยที่ตาเป็นต้อเพิ่มขึ้นอีกด้วย ศัตรูที่มองไม่เห็นนั้นไม่ใช่สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอนครับ หากแต่เป็นก็คือ รังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เล็ดลอดมานั่นเองครับ รังสี UVนั้นเป็นรังสีที่มีพลังงานสูงกว่าช่วงของแสงที่มนุษย์เราสามารถมองเห็นได้ เราอาจเคยได้ยินคำว่า รังสีเหนือม่วง รังสี UV นั้นสามารถแบ่งย่อยได้เป็น 3 ประเภทดังนี้คือ
UVA เป็นรังสี UV ที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 315 ถึง 400 นาโนเมตร มีระดับพลังงานต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ UVB และ UVC แต่มีอำนาจในการทะลุทะลวงสูงที่สุด กล่าวคือ UVA สามารถผ่านทะลุชั้นบรรยากาศของโลก หรือชั้นโอโซนลงมา เมื่อกระทบดวงตา สามารถทะลุผ่านกระจกตา ผ่านเลนส์ตา ไปกระทบยังจอประสาทตา ดังนั้น UVA จึงเป็นตัวการสำคัญในการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age related macular degeneration )
UVB เป็นรังสี UV ที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 280 ถึง 315 นาโนเมตร มีระดับพลังงานสูง และเป็นตัวที่ก่อให้เกิดโทษต่อดวงตาของมนุษย์มากที่สุด มักเป็นตัวการทำให้เกิดต้อลม ต้อเนื้อ และต้อกระจก UVB บางส่วนจะถูกชั้นโอโซนกรองเอาไว้ จะเหลือเพียงบางส่วนหลุดรอดชั้นโอโซนลงมาสู่มนุษย์และสรรพสิ่งบนพื้นโลก UVB นี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง เป็นสาเหตุให้ผิวหนังมีสีแทน หรือสีคล้ำดำขึ้น แต่หากได้รับ UVB มากเกินไปจะทำให้ผิวหนังไหม้ มีอาการปวดแสบ ปวดร้อนได้ ทั้งยังก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
UVC เป็นรังสี UV ที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 100 ถึง 280 นาโนเมตร มีระดับพลังงานสูงที่สุด แต่มีอำนาจในการทะลุทะลวงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ UVA และ UVB เป็นรังสี UV ที่เป็นอันตรายกับมนุษย์มากที่สุด แต่โชคดีที่ชั้นโอโซนสามารถกรองหรือป้องกันรังสี UVC ได้ทั้งหมด นั่นหมายถึง UVC ไม่สามารถ ผ่านชั้นบรรยากาศของโลกลงมาทำร้ายมนุษย์ได้ แต่มนุษย์เราจะไม่โชคดีอย่างนี้ตลอดไป ด้วยเพราะฝีมือของมนุษย์เองที่เป็นผู้ทำลายชั้นบรรยากาศของโลก หรือชั้นโอโซน หากวันหนึ่งข้างหน้า รังสี UVC สามารถผ่านชั้นบรรยากาศของโลกลงมาได้ มนุษย์นั่นแหละที่จะได้รับผลกระทบนั้น
รังสี UV เป็นรังสีที่มีพลังงานสูง แต่ไม่ได้อยู่ในช่วงของพลังงานที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ ( Visible Light ) กล่าวคือ ในสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า ( Electromagnetic Spectrum ) นั้นคลื่นวิทยุมีพลังงานต่ำสุด และรังสีแกมมามีพลังงานสูงสุด
เพื่อป้องกันดวงตาเมื่ออยู่กลางแจ้งแบบทั่วไป ควรสวมหมวกและแว่นตากันแดดชนิดที่สามารถป้องกันรังสี UV ได้ 100 เปอร์เซ็นต์
ไม่เร็วเกินไป และก็ไม่ช้าเกินไปครับ ที่จะป้องกันตัวเองจากโทษของรังสี UV ตามที่กล่าวไว้ในฉบับที่แล้วครับ คุณสามารถป้องกันความเสียหายจาก รังสี UV สู่ตาของคุณโดยการใส่เลนส์แว่นตาที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือ UV 400 กล่าวคือสามารถป้องกันรังสี UV ได้ทั้งหมดตั้งแต่ 100 จน ถึง 400 นาโนเมตร คือรังสี UV ไม่สามารถผ่านเลนส์เข้าสู่ดวงตาได้เลย บางท่านอาจจะใช้คอนแทคเลนส์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UVแต่ คอนแทคเลนส์ นั้นครอบคลุมเฉพาะที่กระจกตา แต่บริเวณที่เป็นตาขาว หรือเยื่อบุตา ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดต้อลมและต้อเนื้อ ยังไม่ได้รับการปกป้องเลยครับ การป้องกันดวงตา โดยการใส่แว่นกันแดดที่กันรังสี UV เหมือนทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวของคุณ การใส่แว่นกันแดดยังสามารถปกป้องเปลือกตา เนื้อเยื่อรอบดวงตาและเยื่อบุตา (ตาขาว) ที่มีความละเอียดอ่อนนี้จากรังสียูวีที่เป็นอันตรายได้ครับ จากการวิจัยพบว่า ประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร จะใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า ส่วนอื่นบน โลกนี้ จะได้รับปริมาณรังสี UV มากที่สุดเมื่อเทียบกับบริเวณอื่นบนโลก ซึ่งประเทศไทยของเราก็อยู่บนเส้นศูนย์สูตรพอดีเลยครับ ทั้งยังพบอีกว่าช่วงเวลาที่มี ปริมาณรังสี UV มากที่สุดของแต่ละวัน อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง 10 โมงเช้า ถึงบ่าย 2 โมงครับ สิ่งที่สำคัญที่ผมอยากจะให้ตระหนักถึงคือ เด็กครับ หลายท่านอาจ นึกไม่ถึงว่าเด็กนั้นใช้ชีวิตประจำวันอยู่กลางแจ้งมากกว่าผู้ใหญ่นะครับ เพราะเขาอยู่ในวัยที่ชอบวิ่งเล่น เล่นกีฬากลางแจ้งโดยเฉพาะตอนเที่ยง หรือบ่ายหลังพัก ทานอาหารที่โรงเรียน เป็นต้น เริ่มป้องกันตัวเองและครอบครัวของคุณตั้งแต่วันนี้ดีกว่าครับ โดยใช้เลนส์ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV 400 ตั้งแต่วันนี้ ผมเชื่อว่าการป้องกันนั้นง่ายกว่า ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการรักษาครับ
ผมขอทำความเข้าใจเพิ่มเติมในกรณีการใส่เลนส์ป้องกันรังสี UV 400 เพื่อป้องกันต้อกระจกดังนี้ครับ
สำหรับต้อกระจกจริงๆแล้ว สาเหตุหลักนั้นเกิดจากความชราครับ กล่าวคือต้อกระจกเป็นโรคที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่านามสกุลใดก็ตาม ขอเพียง คุณมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ มักจะเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุเฉลี่ย 60 ปีขึ้นไป แต่จากการวิจัยพบว่ารังสี UV เป็นตัวเร่งให้เกิดต้อกระจกขึ้นก่อนวัยอันควร โดยการทำวิจัย พบว่าคนในวัยเดียวกัน อยู่ในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน แต่ผู้ที่ใช้ชีวิตประจำวันกลางแจ้งมากกว่าจะเป็นต้อกระจกเร็วกว่าครับ ดังนั้นการใส่เลนส์ที่ป้องกันรังสี UV 400 แล้วมิได้หมายความว่า คุณจะไม่เป็นต้อกระจกนะครับ เป็นแน่นอนครับขอเพียงอายุยืนยาวครับเพียงแต่ว่ามันจะช่วยชะลอความเสื่อมของเลนส์ตา ให้เนิ่นนานออกไป กล่าวคือสมมุติในภาวะปกติ และได้รับรังสี UV คุณจะเป็นต้อกระจก และต้องเปลี่ยนเลนส์ตาเมื่ออายุ 65 ปี การใส่เลนส์ที่ป้องกัน UV 400 ตั้งแต่อายุยังน้อย คุณก็อาจจะเป็นต้อกระจก และต้องเปลี่ยนเลนส์ตาที่อายุ 70 หรือ 75 ปีครับ และผู้ที่จำเป็นต้องใช้เลนส์ป้องกันรังสี UV 400 เลยก็คือ ผู้ป่วยหลังจากลอกต้อกระจกแล้ว ทั้งนี้เพราะก่อนลอกต้อกระจก เลนส์ตาจะทำหน้าที่ดูดซับรังสี UVB และ UVA แต่เมื่อเลนส์ตาถูกเปลี่ยนเป็นเลนส์ตาเทียมแล้ว ต่อไปเมื่อรังสี UVเข้าสู่ดวงตาก็จะทะลุผ่านเลนส์ตาเทียมไปทำร้ายจอประสาทตาครับ ( ปัจจุบันเลนส์เทียมบางรุ่น น่าจะมีคุณสมบัติกัน UV 400 แล้วนะครับ แต่ถึงกระนั้นก็ตามเพื่อความไม่ประมาท หากใส่แว่นผมก็ขอแนะนำให้ใช้เลนส์ที่ป้องกันรังสี UV 400 ได้จะดีกว่าครับ )